(Education system in USA.)

 การศึกษาในสหรัฐอเมริกา

  1. แต่ละรัฐมีอิสระในการควบคุมคุณภาพและวางแผนด้านการเรียนการสอนเอง โดยไม่ขึ้นกับรัฐบาลกลาง ทุกรัฐจะมีหน่วยงานด้านการศึกษา ในการคอยควบคุมและกำหนดมาตรฐานต่าง ๆ
  2. การศึกษาภาคบังคับนั้น นักเรียนอเมริกัน ทุกคนจะได้รับสิทธิเรียนฟรี จนกระทั่งถึงเกรด 12 (Grade 12) หรือจบในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
  3. การเรียนในระดับอุดมศึกษานั้น หากนักศึกษาต้องการเรียนต่อในมหาวิทยาลัยในรัฐที่ตนเองไม่ได้มีถิ่นฐานอยู่แล้ว จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่เรียกว่า Out of States Tuition เพิ่มขึ้นมาด้วย
  4. หากนักเรียนต่างชาติ ต้องการเข้าไปเรียนในระดับประถม และมัธยมนั้น ทางสหรัฐจะจำกัดสิทธิให้สมัครได้เพียงโรงเรียนเอกชน (Private School) เท่านั้น จะไม่สามารถเรียนกับโรงเรียนรัฐบาล (Public School) ได้ (ยกเว้นนักเรียนทุนหรือนักเรียนแลกเปลี่ยน (Exchange Visitor Program) ที่ถือวีซ่า J1 สามารถเข้าเรียนในโรงเรียนรัฐบาลได้)

การศึกษาในระดับต่าง ๆ

ระดับอนุบาล ( Kindergarten)

การศึกษาระดับนี้ ไม่ใช่การศึกษาภาคบังคับ แต่เป็นการเรียนเพื่อปรับพื้นฐานในช่วงอายุ 3-6 ปีก่อนที่จะเริ่มเรียนอย่างจริงจังในระดับประถมศึกษา

ระดับประถมศึกษา (Primary School)

เป็นการศึกษาภาคบังคับ สำหรับเด็กอายุ 6 – 11 ปี โดยมีระยะเวลาการศึกษา 6 ปี เริ่มเข้าเรียนที่ Grade 1 จนถึง Grade 6 (เทียบเท่ากับประถมศึกษาปีที่ 1 – 6 ในประเทศไทย) จึงจะสำเร็จการศึกษาในระดับนี้

ระดับมัธยมศึกษา (Secondary School หรือ High School)

เป็นการศึกษาภาคบังคับ สำหรับเด็กอายุ 12 – 18 ปี โดยมีระยะเวลาการศึกษา 6 ปี โดยจะเริ่มเรียนที่ Grade 7 – 8 ซึ่งเรียกว่าระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (Junior High School) และต่อด้วย Grade 9 –12 เป็นระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (Senior High School) โดยส่วนใหญ่แล้ว นักเรียนจะเรียนต่อเนื่องจนกระทั่งจบการศึกษาในระดับนี้ที่อายุ 18 ปี (เทียบเท่า วุฒิ ม.6)

รายชื่อหมวดวิชาที่ต้องเรียนในระดับนี้

  • ภาษาอังกฤษ (English)
  • คณิตศาสตร์ (Math)
  • วิทยาศาสตร์ (Sciences)
  • สังคมศึกษา (Social Studies)
  • ภาษาต่างประเทศ (Foreign Languages)
  • พลศึกษา (Physical Education)
  • ศิลปะ (Art)
  • ดนตรี (Music)
  • Home Economics
  • Industrial Arts

ระดับอุดมศึกษา แบ่งเป็น 4 ประเภท

1. วิทยาลัยแบบ 2 ปี หรือ วิทยาลัยชุมชน (Junior Colleges and Community Colleges) การศึกษาในระดับนี้ มี 2 ลักษณะ คือ แบบ Transfer Track และแบบ Terminal/Vocational Track

– Transfer Track เป็นหลักสูตรที่เป็นวิชาพื้นฐาน 2 ปีแรกของการศึกษาระดับปริญญาตรี โดยจะต้องลงเรียน รายวิชาบังคับ (General Education Requirements) จากนั้นนักศึกษาสามารถ โอนหน่วยกิต (Transfer) ไปยังมหาวิทยาลัยทั้งภาครัฐหรือเอกชนเพื่อศึกษาต่อในระดับชั้นปีที่ 3 โดยที่เกรดเฉลี่ยที่นักศึกษาทำได้ในระหว่าง 2 ปีนี้ จะเป็นตัว กำหนดว่านักศึกษาจะได้รับการตอบรับ เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ที่ต้องการหรือไม่

– Terminal / Vocational Track เป็นหลักสูตรอนุปริญญาสายวิชาชีพ หลังจากที่เรียนจบในระยะเวลา 2 ปีแล้วนักศึกษาจะได้รับ วุฒิอนุปริญญา (Associate Degree) ทางสาขาวิชาที่เลือก

2. วิทยาลัย (Colleges) เป็นสถาบันระดับอุดมศึกษาที่เปิดสอนในสาขาวิชาต่าง ๆ ในหลักสูตรปริญญาตรี (4 ปี) และปริญญาโท ซึ่งหลังจากที่เรียนจบหลักสูตรแล้ว วุฒิบัตรที่ได้รับจะมีศักดิ์และสิทธิ์เทียบเท่าปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยทุกประการ ไม่ว่าสถาบันนั้นจะเป็นของรัฐหรือเอกชนก็ตาม

3. มหาวิทยาลัย (University) เป็นสถาบันระดับอุดมศึกษาที่เปิดสอนระดับปริญญาตรีขึ้นไป มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ จะเปิดสอนจนถึงระดับปริญญาโท และเอกใน สาขาต่าง ๆ

4. สถาบันเทคโนโลยี (Institute of Technology) โดยส่วนใหญ่ มักจะมุ่งเน้น ที่การเรียนการสอนในสาขา วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีเป็นหลัก ซึ่งเปิดสอนตั้งแต่ระดับปริญญาตรี จนถึง ระดับปริญญาโท และเอก

โรงเรียนสอนภาษา

ประเทศสหรัฐอเมริกา มีสถาบันสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองอยู่มากมาย มีทั้งโรงเรียนของรัฐบาลและของเอกชน หลักสูตรที่เปิดสอนโดยส่วนใหญ่เรียกว่า Intensive English Program ซึ่งเป็นหลักสูตรที่เปิดสอนขึ้น เพื่อนักศึกษาต่างชาติโดยเฉพาะ จุดประสงค์ของหลักสูตร คือให้นักเรียนต่างชาติ พัฒนาความสามารถทางภาษาอังกฤษ ก่อนที่จะเข้าเรียนในหลักสูตรอื่น ๆ ต่อไป

ปีการศึกษา หรือ ภาคการศึกษา (Academic Year)

ในประเทศสหรัฐอเมริกานั้น จะแบ่งปีการศึกษาออกเป็นหลายระบบ ระบบที่นิยมใช้มากที่สุด ก็คือระบบ Semester ซึ่งจะคล้ายกับระบบที่ใช้อยู่ในประเทศไทย ในระดับอุดมศึกษา

ระบบต่าง ๆ มีชื่อและรายละเอียด ดังนี้

1. ระบบ Semester ใน 1 ปีการศึกษา จะประกอบด้วย 2 Semesters ซึ่งยาวประมาณ Semester ละ 16 สัปดาห์ และ ภาคเรียนระยะสั้นในช่วง Summer เรียกว่า 1-2 Summer Sessions ซึ่งแต่ละช่วงมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้

* Fall Semester เปิดเรียนประมาณปลายเดือนสิงหาคม – กลางเดือนธันวาคม
* Spring Semester เปิดเรียนประมาณต้นเดือนมกราคม – เดือนเมษายน
* Summer Session เปิดเรียนประมาณกลาง เดือนพฤษภาคม – เดือนสิงหาคม (บางครั้งช่วง Summer จะแบ่งครึ่ง เป็น 2 ช่วงสั้น ๆ )

2. ระบบ Trimester ใน 1 ปีการศึกษา จะประกอบด้วย 3 ภาคการศึกษา ดังนี้

* First Trimester เปิดเรียนประมาณ เดือนกันยายน – เดือนธันวาคม
* Second Trimester เปิดเรียนประมาณเดือนมกราคม – เดือนเมษายน
* Third Trimester เปิดเรียนประมาณ เดือนพฤษภาคม – เดือนสิงหาคม

3. ระบบ Quarter ใน 1 ปีการศึกษา จะประกอบด้วย 4 Quarter แต่ละ Quarter จะเปิดเรียนประมาณ 10 สัปดาห์ คือ

* Fall Quarter เปิดเรียนประมาณกลางเดือนกันยายน – เดือนธันวาคม
* Winter Quarter เปิดเรียนประมาณเดือนมกราคม – กลางเดือนมีนาคม
* Spring Quarter เปิดเรียนประมาณกลางต้นเดือนเมษายน – กลางเดือนมิถุนายน
* Summer Quarter เปิดเรียนประมาณกลางเดือนมิถุนายน – เดือนสิงหาคม

4. ระบบ 4-1-4 ใน 1 ปีการศึกษา จะประกอบด้วย 2 ภาคเรียนใหญ่ และคั่นกลางด้วยภาคเรียนสั้น ๆ 1 เดือน เพื่อให้นักศึกษาไป ค้นคว้าด้วยตนเอง หรือออก Field Trip ซึ่งภาคเรียน 1 เดือนนี้ มีชื่อเรียกว่า Interim ระบบ 4-1-4 นี้ เป็นระบบใหม่ที่มีใช้อยู่ในสถานศึกษาที่อเมริกา ประมาณ 8% ซึ่งประกอบด้วย

* Fall Semester เปิดเรียนประมาณปลายเดือนสิงหาคม – เดือนธันวาคม
* Interim ช่วงเดือนมกราคม (1 เดือน)
* Spring Semester เปิดเรียนประมาณเดือนกุมภาพันธ์ – เดือนพฤษภาคม

ข้อดีของการเรียนที่อเมริกา

  1. การศึกษาของประเทศอเมริกาอยู่ในระดับแนวหน้า ซึ่งประเทศต่าง ๆ ให้การยอมรับ อีกทั้งยังมีสถาบันที่มีชื่อเสียงมาก ยกตัวอย่าง เช่น Harvard University, MIT, Stanford University
  2. หลักสูตรมีให้เลือกเรียนหลากหลาย และมีสถาบันให้เลือกอย่างมากมาย
  3. ได้รับโอกาสการศึกษา โดยการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเป็นสื่อในการเรียนการสอน
  4. มีโอกาสได้เรียนรู้วัฒนธรรม เทคโนโลยีใหม่ ๆ และแลกเปลี่ยนแนวความคิด เพื่อเป็นประสบการณ์ในการประยุกต์ใช้ในอนาคต
  5. สามารถเลือกรัฐที่อยากจะเรียนได้ตามความเหมาะสมของงบประมาณ ความชอบ และเหตุผลทางด้านภูมิอากาศ
  6. เปิดกว้างทางด้านความคิด ทำให้มีอิสระในการแสดงออก
  7. สถาบันการศึกษาส่วนใหญ่ ได้รับการรับรองวิทยฐานะจากทาง ก.พ.
  8. หากเรียนจบในระดับปริญญาที่อเมริกาแล้ว สามารถขอสิทธิในการอาศัยอยู่ที่อเมริกาได้อีก 1 ปี เพื่อฝึกงาน หรือหาประสบการณ์การทำงาน