(Education system in USA.)
การศึกษาในสหรัฐอเมริกา
- แต่ละรัฐมีอิสระในการควบคุมคุณภาพและวางแผนด้านการเรียนการสอนเอง โดยไม่ขึ้นกับรัฐบาลกลาง ทุกรัฐจะมีหน่วยงานด้านการศึกษา ในการคอยควบคุมและกำหนดมาตรฐานต่าง ๆ
- การศึกษาภาคบังคับนั้น นักเรียนอเมริกัน ทุกคนจะได้รับสิทธิเรียนฟรี จนกระทั่งถึงเกรด 12 (Grade 12) หรือจบในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
- การเรียนในระดับอุดมศึกษานั้น หากนักศึกษาต้องการเรียนต่อในมหาวิทยาลัยในรัฐที่ตนเองไม่ได้มีถิ่นฐานอยู่แล้ว จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่เรียกว่า Out of States Tuition เพิ่มขึ้นมาด้วย
- หากนักเรียนต่างชาติ ต้องการเข้าไปเรียนในระดับประถม และมัธยมนั้น ทางสหรัฐจะจำกัดสิทธิให้สมัครได้เพียงโรงเรียนเอกชน (Private School) เท่านั้น จะไม่สามารถเรียนกับโรงเรียนรัฐบาล (Public School) ได้ (ยกเว้นนักเรียนทุนหรือนักเรียนแลกเปลี่ยน (Exchange Visitor Program) ที่ถือวีซ่า J1 สามารถเข้าเรียนในโรงเรียนรัฐบาลได้)
การศึกษาในระดับต่าง ๆ
ระดับอนุบาล ( Kindergarten)
การศึกษาระดับนี้ ไม่ใช่การศึกษาภาคบังคับ แต่เป็นการเรียนเพื่อปรับพื้นฐานในช่วงอายุ 3-6 ปีก่อนที่จะเริ่มเรียนอย่างจริงจังในระดับประถมศึกษา
ระดับประถมศึกษา (Primary School)
เป็นการศึกษาภาคบังคับ สำหรับเด็กอายุ 6 – 11 ปี โดยมีระยะเวลาการศึกษา 6 ปี เริ่มเข้าเรียนที่ Grade 1 จนถึง Grade 6 (เทียบเท่ากับประถมศึกษาปีที่ 1 – 6 ในประเทศไทย) จึงจะสำเร็จการศึกษาในระดับนี้
ระดับมัธยมศึกษา (Secondary School หรือ High School)
เป็นการศึกษาภาคบังคับ สำหรับเด็กอายุ 12 – 18 ปี โดยมีระยะเวลาการศึกษา 6 ปี โดยจะเริ่มเรียนที่ Grade 7 – 8 ซึ่งเรียกว่าระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (Junior High School) และต่อด้วย Grade 9 –12 เป็นระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (Senior High School) โดยส่วนใหญ่แล้ว นักเรียนจะเรียนต่อเนื่องจนกระทั่งจบการศึกษาในระดับนี้ที่อายุ 18 ปี (เทียบเท่า วุฒิ ม.6)
รายชื่อหมวดวิชาที่ต้องเรียนในระดับนี้
- ภาษาอังกฤษ (English)
- คณิตศาสตร์ (Math)
- วิทยาศาสตร์ (Sciences)
- สังคมศึกษา (Social Studies)
- ภาษาต่างประเทศ (Foreign Languages)
- พลศึกษา (Physical Education)
- ศิลปะ (Art)
- ดนตรี (Music)
- Home Economics
- Industrial Arts
ระดับอุดมศึกษา แบ่งเป็น 4 ประเภท
1. วิทยาลัยแบบ 2 ปี หรือ วิทยาลัยชุมชน (Junior Colleges and Community Colleges) การศึกษาในระดับนี้ มี 2 ลักษณะ คือ แบบ Transfer Track และแบบ Terminal/Vocational Track
– Transfer Track เป็นหลักสูตรที่เป็นวิชาพื้นฐาน 2 ปีแรกของการศึกษาระดับปริญญาตรี โดยจะต้องลงเรียน รายวิชาบังคับ (General Education Requirements) จากนั้นนักศึกษาสามารถ โอนหน่วยกิต (Transfer) ไปยังมหาวิทยาลัยทั้งภาครัฐหรือเอกชนเพื่อศึกษาต่อในระดับชั้นปีที่ 3 โดยที่เกรดเฉลี่ยที่นักศึกษาทำได้ในระหว่าง 2 ปีนี้ จะเป็นตัว กำหนดว่านักศึกษาจะได้รับการตอบรับ เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ที่ต้องการหรือไม่
– Terminal / Vocational Track เป็นหลักสูตรอนุปริญญาสายวิชาชีพ หลังจากที่เรียนจบในระยะเวลา 2 ปีแล้วนักศึกษาจะได้รับ วุฒิอนุปริญญา (Associate Degree) ทางสาขาวิชาที่เลือก
2. วิทยาลัย (Colleges) เป็นสถาบันระดับอุดมศึกษาที่เปิดสอนในสาขาวิชาต่าง ๆ ในหลักสูตรปริญญาตรี (4 ปี) และปริญญาโท ซึ่งหลังจากที่เรียนจบหลักสูตรแล้ว วุฒิบัตรที่ได้รับจะมีศักดิ์และสิทธิ์เทียบเท่าปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยทุกประการ ไม่ว่าสถาบันนั้นจะเป็นของรัฐหรือเอกชนก็ตาม
3. มหาวิทยาลัย (University) เป็นสถาบันระดับอุดมศึกษาที่เปิดสอนระดับปริญญาตรีขึ้นไป มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ จะเปิดสอนจนถึงระดับปริญญาโท และเอกใน สาขาต่าง ๆ
4. สถาบันเทคโนโลยี (Institute of Technology) โดยส่วนใหญ่ มักจะมุ่งเน้น ที่การเรียนการสอนในสาขา วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีเป็นหลัก ซึ่งเปิดสอนตั้งแต่ระดับปริญญาตรี จนถึง ระดับปริญญาโท และเอก
โรงเรียนสอนภาษา
ประเทศสหรัฐอเมริกา มีสถาบันสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองอยู่มากมาย มีทั้งโรงเรียนของรัฐบาลและของเอกชน หลักสูตรที่เปิดสอนโดยส่วนใหญ่เรียกว่า Intensive English Program ซึ่งเป็นหลักสูตรที่เปิดสอนขึ้น เพื่อนักศึกษาต่างชาติโดยเฉพาะ จุดประสงค์ของหลักสูตร คือให้นักเรียนต่างชาติ พัฒนาความสามารถทางภาษาอังกฤษ ก่อนที่จะเข้าเรียนในหลักสูตรอื่น ๆ ต่อไป
ปีการศึกษา หรือ ภาคการศึกษา (Academic Year)
ในประเทศสหรัฐอเมริกานั้น จะแบ่งปีการศึกษาออกเป็นหลายระบบ ระบบที่นิยมใช้มากที่สุด ก็คือระบบ Semester ซึ่งจะคล้ายกับระบบที่ใช้อยู่ในประเทศไทย ในระดับอุดมศึกษา
ระบบต่าง ๆ มีชื่อและรายละเอียด ดังนี้
1. ระบบ Semester ใน 1 ปีการศึกษา จะประกอบด้วย 2 Semesters ซึ่งยาวประมาณ Semester ละ 16 สัปดาห์ และ ภาคเรียนระยะสั้นในช่วง Summer เรียกว่า 1-2 Summer Sessions ซึ่งแต่ละช่วงมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้
* Fall Semester เปิดเรียนประมาณปลายเดือนสิงหาคม – กลางเดือนธันวาคม
* Spring Semester เปิดเรียนประมาณต้นเดือนมกราคม – เดือนเมษายน
* Summer Session เปิดเรียนประมาณกลาง เดือนพฤษภาคม – เดือนสิงหาคม (บางครั้งช่วง Summer จะแบ่งครึ่ง เป็น 2 ช่วงสั้น ๆ )
2. ระบบ Trimester ใน 1 ปีการศึกษา จะประกอบด้วย 3 ภาคการศึกษา ดังนี้
* First Trimester เปิดเรียนประมาณ เดือนกันยายน – เดือนธันวาคม
* Second Trimester เปิดเรียนประมาณเดือนมกราคม – เดือนเมษายน
* Third Trimester เปิดเรียนประมาณ เดือนพฤษภาคม – เดือนสิงหาคม
3. ระบบ Quarter ใน 1 ปีการศึกษา จะประกอบด้วย 4 Quarter แต่ละ Quarter จะเปิดเรียนประมาณ 10 สัปดาห์ คือ
* Fall Quarter เปิดเรียนประมาณกลางเดือนกันยายน – เดือนธันวาคม
* Winter Quarter เปิดเรียนประมาณเดือนมกราคม – กลางเดือนมีนาคม
* Spring Quarter เปิดเรียนประมาณกลางต้นเดือนเมษายน – กลางเดือนมิถุนายน
* Summer Quarter เปิดเรียนประมาณกลางเดือนมิถุนายน – เดือนสิงหาคม
4. ระบบ 4-1-4 ใน 1 ปีการศึกษา จะประกอบด้วย 2 ภาคเรียนใหญ่ และคั่นกลางด้วยภาคเรียนสั้น ๆ 1 เดือน เพื่อให้นักศึกษาไป ค้นคว้าด้วยตนเอง หรือออก Field Trip ซึ่งภาคเรียน 1 เดือนนี้ มีชื่อเรียกว่า Interim ระบบ 4-1-4 นี้ เป็นระบบใหม่ที่มีใช้อยู่ในสถานศึกษาที่อเมริกา ประมาณ 8% ซึ่งประกอบด้วย
* Fall Semester เปิดเรียนประมาณปลายเดือนสิงหาคม – เดือนธันวาคม
* Interim ช่วงเดือนมกราคม (1 เดือน)
* Spring Semester เปิดเรียนประมาณเดือนกุมภาพันธ์ – เดือนพฤษภาคม
ข้อดีของการเรียนที่อเมริกา
- การศึกษาของประเทศอเมริกาอยู่ในระดับแนวหน้า ซึ่งประเทศต่าง ๆ ให้การยอมรับ อีกทั้งยังมีสถาบันที่มีชื่อเสียงมาก ยกตัวอย่าง เช่น Harvard University, MIT, Stanford University
- หลักสูตรมีให้เลือกเรียนหลากหลาย และมีสถาบันให้เลือกอย่างมากมาย
- ได้รับโอกาสการศึกษา โดยการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเป็นสื่อในการเรียนการสอน
- มีโอกาสได้เรียนรู้วัฒนธรรม เทคโนโลยีใหม่ ๆ และแลกเปลี่ยนแนวความคิด เพื่อเป็นประสบการณ์ในการประยุกต์ใช้ในอนาคต
- สามารถเลือกรัฐที่อยากจะเรียนได้ตามความเหมาะสมของงบประมาณ ความชอบ และเหตุผลทางด้านภูมิอากาศ
- เปิดกว้างทางด้านความคิด ทำให้มีอิสระในการแสดงออก
- สถาบันการศึกษาส่วนใหญ่ ได้รับการรับรองวิทยฐานะจากทาง ก.พ.
- หากเรียนจบในระดับปริญญาที่อเมริกาแล้ว สามารถขอสิทธิในการอาศัยอยู่ที่อเมริกาได้อีก 1 ปี เพื่อฝึกงาน หรือหาประสบการณ์การทำงาน